ภาพยนตร์ มังกรสร้างชาติ เป็นเรื่องเกี่ยวกับอภิมหาสงครามระหว่างฝ่ายเสื้อน้ำเงิน คือ รัฐบาลจีนคณะชาติ กับฝ่ายเสื้อแดง คือ รัฐบาลจีนคอมมิวนิสต์ สร้างขึ้นเพื่อฉลองครบรอบ 60 ปี แห่งการสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2492 นายเหมาเจ๋อตง ประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีน ได้ประกาศต่อกำลังทหารและประชาชนกว่า 300,000 คน ที่ชุมนุมกัน ณ ลานจัตุรัสเทียนอันเหมิน กรุงปักกิ่ง ว่า “ณ วันนี้ สาธารณรัฐประชาชนจีน ศูนย์กลางอำนาจของประชาชน ได้สถาปนาขึ้นแล้ว”
ฉากเริ่มต้นของภาพยนตร์ เป็นการเจรจาสันติภาพระหว่างจีนคอมมิวนิสต์ โดยนายเหมาเจ๋อตง และจีนคณะชาติ นำโดย จอมพลเจียงไคเช็ค มีสหรัฐอเมริกา เป็นตัวกลาง เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลงใหม่ๆ ซึ่งตกลงจะก่อตั้งรัฐบาลผสมขึ้น โดยมีจอมพลเจียงไคเช็คดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดี มีตัวแทนพรรคคอมมิวนิสต์และพรรคสันนิบาตประชาธิปไตย เข้าร่วมเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลผสมด้วย
เหตุการณ์ดูเหมือนว่าประเทศจีนกำลังจะเกิดการสมานฉันท์ แต่ฝ่ายเจียงไคเช็คกลับฉีกข้อตกลงสันติภาพทิ้งเองเพื่อยึดอำนาจการปกครองแบบเบ็ดเสร็จ โดยมีการลอบสังหาร จับกุมคุมขังพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้าม มีการปราบปรามและเข่นฆ่าประชาชนที่ชุมนุมโดยสันติ จึงก่อให้เกิดสงครามการเมืองอีกครั้งหนึ่งเมื่อกลางปี 2489 โดยฝ่ายคอมมิวนิสต์ได้เรียกสงครามครั้งนี้ว่าเป็น “สงครามปลดปล่อย” (War of Liberation)
จอมพลเจียงไคเช็คได้ประกาศในการประชุมแห่งชาติเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2489 ว่าจะใช้เวลา 3 เดือน ในการยุติความวุ่นวาย โดยขุดรากถอนโคนกองทัพปลดปล่อยเพื่อสร้างความสงบภายในประเทศ เนื่องจากมั่นใจอย่างมากกับแสนยานุภาพอันประกอบไปด้วยกำลังทหารจำนวน 4.3 ล้านคน ขณะที่ฝ่ายคอมมิวนิสต์ 1.2 ล้านคน ฝ่ายจีนคณะชาติมีอาวุธหนักเต็มอัตราศึก ทั้งปืนใหญ่ รถถัง เครื่องบิน ส่วนฝ่ายคอมมิวนิสต์มีเพียงอาวุธเบา คือ ปืนและระเบิดเท่านั้น
ประชาชนในเขตปกครองของจีนคณะชาติยังมีมากกว่าฝ่ายคอมมิวนิสต์ในอัตราส่วนสูงถึง 3 ต่อ 1 โดยเป็นเขตพัฒนาเศรษฐกิจระดับสูง สามารถจัดเก็บภาษีอากรจำนวนมาก แตกต่างจากเขตปลดปล่อยของจีนคอมมิวนิสต์ที่เป็นเขตชนบทที่ยากจน ซึ่งประกอบอาชีพตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง มีการปลูกพืชหรือผลิตสินค้าง่ายๆ ขึ้นใช้เอง
กองทัพจีนคณะชาติได้เปิดฉากโจมตีพื้นที่ของจีนคอมมิวนิสต์ในหลายพื้นที่พร้อมๆ กัน สามารถยึดเมืองเหยียนอัน ซึ่งเป็นเมืองหลวงได้เป็นผลสำเร็จเมื่อเดือนมีนาคม 2490 ส่วนอีกแนวรบหนึ่ง คือ แมนจูเรีย จอมพลเจียงไคเช็คได้ส่งกองทัพบกที่ 1 ซึ่งนับเป็นกำลังทหารที่ดีที่สุดของจีนคณะชาติ ในช่วงแรกสามารถรบชนะ ทำให้กองทัพจีนคอมมิวนิสต์ถอยร่นอย่างไม่เป็นขบวน จนดูเสมือนว่าชัยชนะอยู่ใกล้แค่เอื้อม
แต่สถานการณ์กลับตรงกันข้าม เมื่อฝ่ายกองทัพจีนคณะชาติต้องเปลี่ยนจากฝ่ายรุกมาเป็นฝ่ายตั้งรับและพ่ายแพ้อย่างหมดรูป นับเป็นบทเรียนราคาแพงพิสูจน์สัจธรรมในการทำสงครามประชาชนหลายประการ
ประการแรก แม้ฝ่ายคอมมิวนิสต์เป็นรองด้านกำลังทหารและอาวุธ แต่ได้เปรียบอย่างท่วมท้นทางการเมือง สามารถเอาชนะใจประชาชนได้ เนื่องจากได้ชูนโยบายปฏิรูปที่ดิน ทำให้ได้รับการสนับสนุนอย่างท่วมท้นจากประชาชนยากจนและไร้ที่ทำกิน โดยในภาพยนตร์ได้กล่าวในคำพูดที่ว่า “ให้ที่ดินแก่ชาวนา แผ่นดินนี้ก็เป็นของเรา”
ประการที่สอง กองทัพจีนคณะชาติมีการทุจริตคอร์รัปชันอย่างกว้างขวาง เป็นระบบทหารเกณฑ์ บรรดาพลทหารถูกกดขี่ข่มเหง ดังนั้น เมื่อกองทัพจีนคอมมิวนิสต์สามารถปิดล้อมและยึดเชลยศึกได้ เชลยศึกเกือบทั้งหมดแทนที่จะถูกคุมขัง ก็จะถูกนำมาอบรมหรือล้างสมองเกี่ยวกับลัทธิคอมมิวนิสต์ จากนั้นก็เปลี่ยนเครื่องแบบกลายเป็นทหารประชาชนของกองทัพปลดปล่อย
ประการที่สาม กองทัพจีนคณะชาติขาดระเบียบวินัย ปล้นชิงทรัพย์สินของประชาชน แม้แต่ที่ปรึกษาทางทหารของสหรัฐฯ ที่ส่งไปประจำการในประเทศจีน ก็ได้เคยให้คำแนะนำแก่รัฐบาลสหรัฐฯ ตั้งแต่ในช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ก่อนที่จะเกิดสงครามปลดปล่อย ว่าควรถอนการสนับสนุนรัฐบาลจีนคณะชาติ และเปลี่ยนมาสนับสนุนรัฐบาลจีนคอมมิวนิสต์ ซึ่งแม้มีกองทัพขนาดเล็ก แต่มีระเบียบวินัยและเป็นที่ยอมรับของประชาชนมากกว่า
แต่รัฐบาลสหรัฐฯ กลับไม่รับฟังความคิดเห็นของที่ปรึกษาข้างต้น โดยหากดำเนินการตามข้อเสนอแนะแล้ว ประวัติศาสตร์โลกในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง ในเวลาต่อมา คงไม่มีสงครามเกาหลีและสงครามเวียดนาม ดังนั้น จะไม่ทำให้ประชาชนของทั้งเกาหลีและเวียดนามอีกหลายล้านคนเสียชีวิต ขณะที่ทหารสหรัฐฯ คงไม่ต้องเสียชีวิตในสงครามทั้ง 2 ครั้ง อีกประมาณ 100,000 คน
ขณะที่กองทัพปลดปล่อยกลับตรงกันข้าม ดำเนินการภายใต้ยุทธศาสตร์ “ทหารคือปลา ประชาชนคือน้ำ” โดยต้องปฏิบัติการตามกฎเหล็กของเหมาเจ๋อตุงอย่างเคร่งครัด เป็นต้นว่า ห้ามเข้าบ้านประชาชนก่อนได้รับอนุญาต ห้ามนำทรัพย์สินของประชาชนไปโดยพลการ หากต้องใช้ข้าวปลาอาหารต้องซื้อหามา ห้ามปล้นสะดมประชาชน ฯลฯ ทำให้ได้รับการยอมรับว่ามีระเบียบวินัยสูงและมีความประพฤติดี
ประการที่สี่ แม้รัฐบาลสหรัฐฯ จะช่วยเหลือทางการเงินเป็นเงินมหาศาล แต่เกิดปัญหาคอร์รัปชันอย่างรุนแรงขึ้นในรัฐบาลจีนคณะชาติ ทำให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจและเหตุการณ์ข้าวยากหมากแพง ซึ่งจอมพลเจียงไคเช็คก็ได้ยอมรับในเรื่องนี้ โดยในภาพยนตร์เขาได้กล่าวกับลูกชาย คือ นายเจียงจิ่งกั้ว ว่า “พวกโกงกินได้แทรกเข้ามาถึงกระดูกพรรคของเราแล้ว...การปราบคอร์รัปชันเป็นงานใหญ่ ต้องดูเวลา ดูว่าควรไม่ควร มันยาก แก้สิ้นพรรค ถ้าไม่แก้ ก็สิ้นชาติ”
ประการที่ห้า จอมพลเจียงไคเช็คมีบุคลิกลักษณะอาฆาตมาดร้าย มีการส่งทหารไปลอบสังหารและจับกุมฝ่ายตรงข้ามจำนวนมาก ไม่เฉพาะฝ่ายจีนคอมมิวนิสต์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงพรรคการเมืองอื่นๆ ด้วย เป็นการทำลายแนวร่วม จนผู้คนที่เคยเอาใจช่วยพรรคก๊กมินตั๋ง ต่างเอาใจออกห่างทีละคนสองคน
ขณะที่เหมาเจ๋อตงมีบุคลิกเป็นนักประนีประนอมมากกว่า หรืออีกอย่างหนึ่ง คือ มีความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) สูงกว่า ในภาพยนตร์ไม่ได้เป็นคนโหดเหี้ยมเป็นยักษ์มารอย่างที่เคยถูกวาดภาพเอาไว้ แต่เป็นบุคคลธรรมดาสามัญ มีชีวิตความเป็นอยู่แบบง่ายๆ มีอุดมการณ์ และอัธยาศัยดี ทำให้สามารถสร้างแนวร่วมได้อย่างกว้างขวาง แม้แต่นางซ่งซิ่งหลิง ภรรยาของ ดร.ซุนยัดเซ็น ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งรัฐบาลพรรคจีนคณะชาติ ก็ไม่เอาด้วยกับรัฐบาลจีนคณะชาติของเจียงไคเช็ค และต่อมาได้รับตำแหน่งเป็นรองประธานาธิบดีในรัฐบาลจีนคอมมิวนิสต์ แม้ว่าจะไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ก็ตาม
ประการที่หก ความเหนือกว่าทางยุทธศาสตร์ของฝ่ายคอมมิวนิสต์ กล่าวคือ ขณะที่ยุทธศาสตร์หลักของฝ่ายจีนคณะชาติ คือ การปราบปรามฝ่ายตรงข้าม แต่ฝ่ายจีนคอมมิวนิสต์กลับตรงกันข้าม ยุทธศาสตร์หลักไม่ใช่การทำสงคราม แต่เสริมสร้างระบอบการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ มีการเปิดสำนักงานสาขาของพรรคมากมายทั้งในระดับเมือง ตำบล และหมู่บ้าน ใช้ยุทธวิธีป่าล้อมเมือง ค่อยๆ ยึดทีละหมู่บ้าน เปรียบเสมือนกับปลวกที่ค่อยๆ กัดกินอาคารขนาดใหญ่จนล้มทะลายลง นับเป็นยุทธวิธีที่ฝ่ายข้าศึกยากจะปราบปราม
ประการที่เจ็ด ความได้เปรียบในด้านลอจิสติกส์ แม้ฝ่ายจีนคณะชาติได้รุกเข้ามาในแมนจูเรีย สามารถยึดครองพื้นที่บางส่วนภายในเมืองเท่านั้น แต่พื้นที่รอบนอกเป็นของกองทัพปลดปล่อยโดยสิ้นเชิง ซึ่งเป็นไปตามกลยุทธ์ “ป่าล้อมเมือง” ทำให้กองทัพจีนคณะชาติง่ายต่อการถูกโอบล้อม ทำให้เสียเปรียบอย่างมากในด้านลอจิสติกส์ ไม่สามารถขนส่งเสบียงอาหารและยุทโธปกรณ์มาสนับสนุนในทางบกได้ ต้องขนส่งมาทางอากาศซึ่งมีต้นทุนสูงมาก
ขณะที่ฝ่ายคอมมิวนิสต์ได้ปรับตัวอย่างรวดเร็ว มีการรวบรวมปืนใหญ่ที่ยึดได้จากทหารญี่ปุ่นที่แพ้สงคราม มาก่อตั้งเป็นหน่วยทหารปืนใหญ่ รวมถึงเสริมด้วยปืนต่อสู้อากาศยานเพื่อตัดเส้นทางลอจิสติกส์ทางอากาศ ทำให้กองทัพบกที่ 1 ซึ่งนับว่ายิ่งใหญ่และดีที่สุดของฝ่ายจีนคณะชาติขาดการส่งกำลังบำรุง โดยในช่วงกลางปี 2491 เริ่มถูกโอบล้อมเป็นหย่อมๆ ในพื้นที่แมนจูเรีย จนกระทั่งปลายปี 2491 ภายหลังถูกโอบล้อมนาน 5-6 เดือน ต้องล่มสลายลงอย่างสิ้นเชิง จากกำลังทหาร 400,000 คน สามารถตีฝ่าหนีรอดตายได้เพียง 20,000 คนเท่านั้น
จากนั้นกองทัพปลดปล่อยได้เปิดฉากรุกทั่วประเทศ สามารถยึดนครเป่ยผิง (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นกรุงปักกิ่ง) ได้อย่างง่ายดาย เมื่อเดือนมกราคม 2492 เนื่องจากแม่ทัพของจีนคณะชาติ คือ นายพลฟูจั๊วอี้ วางอาวุธยอมแพ้ จึงได้รับกำลังทหารจีนคณะชาติเข้ามาเสริมกองทัพปลดปล่อยเพิ่มเติมอีก 600,000 คน ทำให้กองทัพของพรรคคอมมิวนิสต์ได้ครอบครองพื้นที่ส่วนใหญ่ทางภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือเป็นผลสำเร็จ
จากนั้นเหมาเจ๋อตงได้ประกาศเงื่อนไขเจรจาสงบศึกต่อจีนคณะชาติ 8 ข้อ เป็นต้นว่า จะต้องลงโทษอาชญากรสงครามที่เข่นฆ่าประชาชน ต้องยกเลิกรัฐธรรมนูญที่จอมปลอม ฯลฯ แม้จะมีการเจรจาระหว่างกัน แต่รัฐบาลจีนคณะชาติปฏิเสธที่จะลงนามในสัญญาสันติภาพ ดังนั้น กองทัพปลดปล่อยจึงไม่รีรออีกต่อไป โดยยกกองทัพข้ามแม่น้ำแยงซีเพื่อยึดนครนานกิง ซึ่งเป็นเมืองหลวงของฝ่ายจีนคณะชาติ และใช้เวลาเพียง 2 วัน ก็สามารถยึดได้เป็นผลสำเร็จเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2492 ต่อมาได้ยึดนครเซี่ยงไฮ้ได้สำเร็จในเดือนพฤษภาคม 2492
จากนั้นได้เปิดฉากรุกยึดพื้นที่ทั่วประเทศภายในเวลาอันรวดเร็ว ภายในสิ้นปี 2492 สามารถยึดพื้นที่ได้เกือบทั้งหมด ขาดเฉพาะเกาะไต้หวันเท่านั้น ทั้งนี้ แม้สงครามปลดปล่อยจะจบลงด้วยชัยชนะของจีนคอมมิวนิสต์ แต่ความจริงแล้วเป็นโศกนาฏกรรมของจีนทั้งชาติ เนื่องจากจบลงด้วยการเสียชีวิตของทหารและประชาชนจีนมากถึง 5 ล้านคน อันเป็นผลจากความไม่สมานฉันท์ภายในประเทศ
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9530000043056
มังกรสร้างชาติ 1/8
------------------------------------------
แสดงความคิดเห็น